แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Present Simple Tense แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Present Simple Tense แสดงบทความทั้งหมด

หลักการแปลภาษาอังกฤษ ตอนที่ 38

1. Present Tense ประโยคปัจจุบันกาล
Present Simple
     ประโยคแบบแรกก็คือ ประโยคที่พบกันได้บ่อยที่สุด และง่ายที่สุดเพราะสามารถแปลตามตรงได้ทันที (หากไม่มีเรื่องน้ำเสียงเข้ามาเกี่ยวข้อง) โดยประโยคส่วนใหญ่ของภาษาอังกฤษก็จะเป็นไปในลักษณะ S+V+O (ประธาน กริยา กรรม) ซึ่งเหมือนกับภาษาไทย การแปลประโยคเช่นนี้ก็เหมือนที่ผมได้กล่าวไปเมื่อสักครู่ คือ แปลตามตรงได้ทันทีเลยครับ แต่ก็มีที่แอบแฝงบ้างนะครับ แต่ก่อนจะแปลกันได้ก็ต้องไปดูลักษณะของ Present Simple กัน ก่อนแปลด้วยน่ะค่ะ
     ต่อไปนี้เราจะมาดูรูปประโยคกันเลยละกันครับผม
     ลักษณะของรูปประโยค คือเมื่อใช้ประโยคในการอธิบายให้ดูที่นาม หรือ สรรพนาม หากเป็นนามเอกพจน์ ก็จะเติม s, es ลงหลังกริยา แต่หากเป็นพหูพจน์ก็ไม่ต้องเติมอะไรลงไปในกริยาที่ตามมา ดังตัวอย่าง ซึ่งเวลาแปลนั้นอย่าหลงกล ว่า s, es ที่ตามท้ายมาจะหมายความว่ามากกว่า 1 เพียงอย่างเดียวนะค่ะ





I run.     ฉันวิ่ง
You go to school.     คุณไปโรงเรียน
He walks.     เขาเดิน
She plays piano.     เธอเล่นเปียโน

แยกให้ดูกันชัดๆได้ดังนี้
ชนิด                                 สรรพนาม Subject                            กริยา Verb
พหูพจน์                        I, You, We, They                             ใช้ Verb  ตัวนั้นได้เลย
                                   ประธานที่เป็นกลุ่ม
                                   หรือ 2 คนขึ้นไป
เอกพจน์                         He, She, It                                     กลุ่ม 1 เติม s
                                  ประธานที่เป็นคนคนเดียว                       กลุ่ม 2 เติม es
                                  หรือสิ่งของสิ่งเดียว                              กลุ่ม 3 เปลี่ยน y เป็น i
                                                                                         แล้วเติม es
การใช้ประโยค Present Simple
      ประโยค Present Simple นั้น มีจุดประสงค์การใช้ในเรื่องที่เกี่ยวกับ 2 อย่างได้แก่
      Habits  คือ สิ่งที่ทำอยู่เป็นประจำจนเป็นนิสัย
      States  คือ สภาพ แต่เป็นสภาพที่ไม่ค่อยจะเปลี่ยนแปลง
โดย 2 ลักษณะดังกล่าวเราก็จะกระจายเป็นสถานการณ์ดังต่อไปนี้
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่ทำจนเป็นนิสัย
     He goes to the library at 10 a.m. every day.
     เขาไปห้องสมุดเวลา 10 โมงเช้าทุกวัน
     สังเกตคำว่า Every day น่ะค่ะ เพราะเป็นตัวบ่งชี้ว่าเป็นการกระทำที่ทำอยู่เป็นประจำ
     
     Sarin always tell about his car.
     สารินมักเล่าเกี่ยวกับรถของเขา (สารินมักเล่าเรื่องรถของเขา)
     ในตอนนี้จะเห็นการใช้ Adverb of Frequency (คำคุณศัพท์ช่วยบอกความต่อเนื่อง) เช่น ในประโยคนี้ใช้คำว่า always เป็นตัวบอกว่าสิ่งนี้ทำอยู่เป็นประจำ

     There is a lot of rain in July. 
     ฝนตกมากในช่วงเดือนกรกฏาคม
     เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำโดยไม่จำเป็นต้องใช้คำบ่งบอกความต่อเนื่องก็ได้ค่ะ อย่างในตัวอย่างนี้ก็พูดถึงข้อเท็จจริง แต่เวลาเราแปลในส่วนนี้ไม่ต้องสนใจเท่าไหร่ค่ะ เนื่องจากเป็นประโยคที่แปลตรงรูปได้เลยค่ะ

     Jessy spends Christmas' time with his parents.
     เจนนี่ใช้เวลาช่วงคริสต์มาสกับพ่อแม่ของเขา
     ระวัง ในตัวอย่างนี้แม้ไม่ต้องใช้คำว่า every หรือ always แต่ก็ยังให้ความหมายถึงว่าทุกปี แฝงไว้อยู่ แต่หากพูดในลักษณะหนึ่งคือ Jessy spent Christmas's time with his parents. ความหมายก็จะกลายเป็น เจสซี่ใช้เวลาช่วงคริสต์มาสกับพ่อแม่ของเขา (ครั้งใดครั้งหนึ่ง แต่ผ่านมาแล้ว) ไม่ใช่บ่งบอกว่าเมื่อใด รู้เพียงว่าเป็นอดีตไปแล้วแค่นั้นเองน่ะค่ะ

2. เหตุการณ์ที่ทำแล้วเป็นจริงเสมอ หรือบางกรณีเป็นข้อมูลที่ยังคงเป็นความจริง
    I live in Bangkok.  ฉันอยู่ในกรุงเทพมหานคร
     ข้อมูลเป็นสภาพที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก เช่น พวกที่อยู่ แต่ให้ระวังประโยคแบบนี้ก็สามารถพูดออกมาในอีกลักษณะหนึ่งก็ได้ คือ I have been living in Bangkok for a while. ก็จะหมายความว่าฉันอยู่ในกรุงเทพมหานครมาช่วงเวลาหนึ่ง ถ้าเมื่อไหร่ที่ระบุเวลาลงไปในประโยค จะต้องเปลี่ยนรูปประโยคไปด้วย
   He is Christian.  เขาเป็นชาวคริสต์
     ข้อมูลในประโยคนี้เป็นการบอกสภาพของบุคคล ในลักษณะของการกล่าวถึง เชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา ในกรณีเหล่านี้เราก้สามารถใช้ลักษณะรูปประโยคแบบ Present Simple ในการกล่าวเรื่องเหล่านี้ได้ทันที

หลักการแปลภาษาอังกฤษ ตอนที่ 6

4. สกรรมกริยา (Transitive Verbs)
    อันนี้ในภาษาไทยก็มีครับ ผมขอเรียกเป็นชื่อง่ายๆ ที่เข้าใจกันได้ก็คือ กริยาที่ต้องการกรรมมารับ ลักษณะเหมือนภาษาไทยเลยครับ ถ้าเป็นในภาษาไทยเราก็อาจพูดคำว่า ฉันอ่าน ถ้าไม่มีกรรมมารองรับเราก็จะไม่รู้อยู่ดีว่า อ่านอะไร ถ้าดูในภาษาอังกฤษก็เช่นกันครับ ตัวอย่าง เช่น
She is wearing a red shirt
เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีแดง

    ให้สังเกตว่าถ้าเราไม่มีกรรมอย่าง a red shirt มารับ เราก็จะไม่สามารถเข้าใจได้ว่า เธอสวมอะไรอยู่กันแน่

ลองดูอีกตัวอย่างหนึ่งก็แล้วกันน่ะ
Dusit does his homework
ดุสิตทำการบ้านของเขา

5. อกรรมกริยา (Intransitive Verbs)
    ในกลุ่มนี้ก็จะตรงข้ามกับกลุ่มที่แล้วเลยครับ ถ้าจะเรียกง่ายๆ ก็คงต้องใช้ว่า กริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารับ คำพวกนี้แม้ประโยคมีแค่  ประธาน กับ กริยา ก็มีใจความสมบูรณ์แล้วครับ เช่น
I walk.  ฉันเดิน
A monkey died.  ลิงตาย

    การใช้ Verb น่ะครับ เป็นสิ่งที่มีปัญหาพอสมควร แต่ไม่ใช่เรื่องการวางตำแหน่งของกริยาหรอกน่ะครับ แต่เป็นปัญหาเรื่องการผัน และการเลือกใช้คำต่างๆ เสียมากกว่า ก็เลยจะนำเรื่องการผัน Verb มาให้ลองอ่านทบทวนกันดู
    การผันกริยาในภาษาอังกฤษนั้นมีหลายวิธีในรูปประโยคต่างๆกัน แต่เมื่อนำมารวบรวมดูแล้ว การผันนั้นก็มีด้วยกันอยู่ 3 ลักษณะใหญ่ได้แก่
1. ผันรูป Present Simple
    ชื่อก็บอกอยู่แล้วครับ ว่าเป็นการผันรูปกริยาเพื่อใช้กับประโยค Present Simple โดยเฉพาะ โดยการผันกริยาในรูปแบบบนี้นั้น จะถูกนำไปใช้ในประโยคที่มีประธานเป็นเอกพจน์ (ผู้อ่านจะได้ทำความรู้จักกับรูปประโยคในเนื้อหาต่อๆไปครับ)

    ลักษณะการเปลี่ยนกริยาตามกลุ่มประโยค Present Simple
กลุ่มที่ 1   กริยาทั่วไปที่ไม่ลงท้ายด้วยสระ 0 เติม s ได้ทันที
    เช่น eat, show, hate, love, collect เป็นต้น
กลุ่มที่ 2 กริยาที่ลงท้ายด้วยสระ 0,s, sh, ch, x, z เติม es
    เช่น go, teach, fix, kiss
กลุ่มที่ 3 กริยาลงท้ายด้วย y ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es
    เช่น shy, cry

    ในการเปลี่ยนกริยาตามกลุ่มประโยคในลักษณะนี้นั้น จะเติม s หรือ es ที่กริยาก็ต่อเมื่อประธานเป็นคำนามเอกพจน์ หรือเป็นสรรพนามเอกพจน์บุรุษที่สาม

เรียนภาษาอังกฤษ เรื่อง Present Simple Tense


เรียนภาษาอังกฤษ เรื่อง Present Simple Tense

Present Simple Tense
มีวิธีใช้ดังนี้

รูปแบบของ Present Simple Tense คือ Subject+กริยาช่องที่ 1

(เติม s เมื่อประธานเป็นเอกพจน์ ยกเว้น, I, You)

เช่น

He gets up early.

I get up early.

The boys get up early.

ถาม : การเติม s ที่กริยาเมื่อประธานเป็นเอกพจน์มีหลักเกณฑ์อย่างไร

ตอบ : มีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

(1) กริยาที่ลงท้ายด้วย s, ss, sh, ch, o, และ x ให้เติม e เสียก่อนแล้วจึงเติม s เช่น
Pass
Passes
ผ่าน
Brush
Brushes
แปรงฟัน
Catch
Catches
จับ
Go
Goes
ไป
Box
Boxes
ชก

(2) กริยาที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะให้เปลี่ยน y เป็น ie แล้วจึงเติม s เช่น
Cry
Cries
ร้องไห้
Carry
Carries
ถือ, หิ้ว
Fly
Flies
บิน
Try
Tries
พยายาม
ข้อยกเว้น : ถ้าหน้า y นั้นเป็นสระ ไม่ต้องเปลี่ยน y เป็น ie ให้เติม s ได้เลย เช่น
Play
Plays
เล่น
Destroy
Destroys
ทำลาย, สังหาร
ถาม : เราใช้ Present Simple Tense เมื่อใด

ตอบ : ใช้ Present Simple Tense เมื่อกล่าวถึง

1) ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เป็นความจริงตลอดไป หรือเป็นความจริงความธรรม (general truth หรือ eternal truth) เช่น

The sun rises in the east.

ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก

The earth rotates on its axis.

โลกหมุนอยู่บนแกนของตัวเอง

It’s cold in winter.

มันหนาวในฤดูหนาว

Fish swim in the water.

ปลาว่ายอยู่ในน้ำ

Fire is hot. Ice is cold.

ไฟร้อน น้ำแข็งเย็น

(ตัวอย่างที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นความจริงตามธรรมชิตหรือตลอดไป

2) ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นประเพณี, นิสัย, สุภาษิต ซึ่งไม่ได้บ่งเฉพาะเจาะจงว่าเวลาใด เช่น
Actions speak louder than words.


ทำดีกว่าพูด

Men wear thin clothes in summer.

คนเราสวมเสื้อผ้าบางๆ ในฤดูร้อน

That man speaks English as well as he speaks his own language.

เจ้าคนนั้นพูดภาษาอังกฤษราวกับภาษาของตน

Woman are dressed all in black when going to the funeral.

ผู้หญิงแต่งตัวด้วยชุดสีดำล้วนเมือไปงานศพ

(เหตุการณ์หรือการกระทำดังกล่าวนี้เป็นประเพณี, นิสัย, สุภาษิต กริยาต้องใช้ Present Simple ตลอดไป)

3) ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นจริงในขณะพูด (ก่อนหน้าพูดหรือหลังจากพูดไปแล้วจะเป็นตามนั้นหรือไม่ก็ได้ ไม่มีผลผูกพัน แต่ที่แน่ๆ ก็คือต้องเป็นจริงขณะที่พูดก็แล้วกัน) เช่น

He stands under the tree.

เขายืนอยู่ใต้ต้นไม้ (มองดูไปเห็นยืนอยู่จริง ยังไม่ไปไหน)

I have two books in the suitcase.

ฉันมีหนังสือ 2 เล่มอยู่ในกระเป๋า (เปิดออกมามีอยู่จริง)

Susan is my close friend.

ซูซานเป็นเพื่อนสนิทของฉัน (ขณะพูดก็เป็นมิตรกันอยู่)

(Verb ทั้งหมดต้องใช้ช่อง 1 เพราะเป็นความจริงขณะพูด)

4) ใช้กับเหตุการณ์ในอนาคต ซึ่งได้ตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าจะปฏิบัติเช่นนั้น (นิยมใช้กับกริยาที่แสดงการเคลื่อนที่จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง) ตามกฎการใช้ข้อที่ 4 นี้ จะมีคำวิเศษณ์บอกเวลาที่เป็นอนาคตมาร่วมด้วยก็ได้ เช่น
I leave by the 6.20 train this evening.

ผมจะออกเดินทางโดยขบวนรถไฟ 18.20 น. เย็นนี้

He sets sail tomorrow for Hua-Hin, and comes back next week.

เขาจะออกเรือไปหัวหินพรุ่งนี้ และก็จะกลับในสัปดาห์หน้า

We attack the enemies at dawn.

เราจะเข้าโจมตีข้าศึกเวลาเช้าตรู่

(เหตุการณ์ทั้ง 3 ประโยคจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งได้ตัดสินใจจะปฏิบัติตามนั้น จึงใช้ Verb เป็น Present Simple Tense ได้)

5) ใช้กับเหตุการณ์ในประโยค Subordinate Clause (อนุประโยค) ที่บ่งบอกเวลาเป็นอนาคต ซึ่งประโยค Subordinate Clause ที่ว่านี้ จะขึ้นต้นประโยคของมันด้วยคำต่อไปนี้ คือ

if, when, whenever, unless, until, till, as soon as, while, before, after, as long as , etc.

เช่น

If the weather is fine tomorrow, we shall have a picnic.

ถ้าพรุ่งนี้อากาศดี เราก็จะไปเที่ยวกัน

Unless he sends the money before Friday, I shall consult my lawyer.

ถ้าเขาไม่ส่งเงินมาก่อนวันศุกร์ ผมก็จะไปปรึกษาทนายความของผม

Let’s wait until (till) he comes.

ขอให้เรารอจนกว่าเขาจะมา

When you see Daeng tomorrow, remember me to him.

เมื่อคุณพบแดงวันพรุ่งนี้ ก็ฝากความคิดถึงจากผมไปหาเขาด้วย

(Verb ของประโยคที่ขึ้นต้นด้วย if, unless, until, when ต้องใช้ Present Simple Tense เสมอ)

6) ใช้กับเหตุการณ์ในกรณีสรุปเรื่องที่เล่ามา แม้เหตุการณ์นั้นจะได้เกิดขึ้นแล้วในอดีต แต่เราก็ใช้ Verb เป็น Present Simple Tense ทั้งนี้เพื่อให้เรื่องที่เล่านั้นมีชีวิตชีวา เหมือนเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในปัจจุบัน (ส่วนมากมักใช้ในการเขียนนิยาย, บทละคร) เช่น

Bassanio wants to go to Belmont to woo Portia. He asks Antonio to lend him money.

Antonio says that he hasn’t any at the moment until his ships come to port.

บัสสานิโอต้องการจะไปแบลมองต์เพื่อเกี้ยวจาพาราสีกับนางปอร์เซีย เขาขอยืมเงินอันโตนิโอ อันโตนิโอบอกว่า ขณะนั้นเขาไม่มีเงิน เอาไว้จนกว่าเรือเข้าเทียบท่าแล้ว (เขาจึงจะมีเงินให้ยืม)

(ดูให้ดี Verb ในประโยคต่างๆใช้ Present Simple Tense ทั้งๆที่เรื่องนี้เกิดในอดีตโน้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดความสนุกเหมือนเหตุการณ์ได้เกิดในปัจจุบัน)

7) การกระทำของกริยาที่ไม่สามารถแสดงอาการให้เห็นได้ เช่น กริยาแสดงความนึกคิด (Verb of Ideas) แสดงความรับรู้ (Verbs of Perception) แสดงภาวะของจิต (Verbs of Mind) แสดงความเป็นเจ้าของ (Verbs of Possession) ให้นำมาแต่งใน Present Simple Tense (เพราะกริยาเหล่านี้ไม่ใช้ในรูป Continuous Tense) เช่น

She loves her husband very much.

หล่อนรักสามีของหล่อนมากๆ

(loves เป็นกริยาแสดงภาวะของจิต ไม่สามารถทำเป็น Loving ได้)

He knows about how to open the can.

เขารู้วิธีที่จะเปิดกระป๋อง

(Knows เป็นกริยาแสดงความรับรู้ ไม่สามารถทำเป็น Knowing ได้)

Advanced English Grammar belongs to me.

หนังสือ Advanced English Grammar เป็นของของผม

(belong to เป็นกริยาแสดงความเป็นเจ้าของ)

She detests people who are unkind to animals

หล่อนเกลียดคนที่ไม่มีเมตตาต่อสัตว์

(Detests เป็นกริยาแสดงความรู้สึกนึกคิด)

8) ใช้กับเหตุการณ์ที่บุคคลหรือสัตว์ทำเป็นประจำ (Repeated Actions) หรือเป็นนิสัยเคยชิน (Habitual Actions and States) การใช้ในกรณีเช่นนี้ มักจะมีคำหรือกลุ่มคำหรือประโยค ซึ่งมีความหมายว่า บ่อยๆ, เสมอๆ, ทุกๆ.......ร่วมอยู่ด้วย

คำที่แสดงความบ่อยที่นำมาใช้ตามกฎข้อที่ 8 นี้แยกออกเป็น 3 ชนิดย่อยๆ คือ
คำ (word)
กลุ่มคำ (Phrase)
ประโยค (Clause)
Always
Everyday
Whenever he sees me
Often
Every week
Whenever he comes here
Sometimes
Every month
Every time he sees me
Frequently
Every year
Every time he comes here
Usually
Once a week
Whenever she can
Naturally
Twice a month
Whenever you want
Generally
In the morning
When he comes here
Rarely
On Sundays
(ทุกวันอาทิตย์)
When he does his work
Seldom
Habitually
On week days
(ทุกวันธรรมดา)
On holidays
(ทุกวันหยุด)


จำ : ประโยคแสดงความบ่อย ความเป็นประจำ รูปของกริยาประโยคนั้นต้องใช้ Present Simple Tense เช่น
He says hello to me whenever he sees me.

เขาพูดสวัสดีกับผมเมื่อเขาเห็นผม

(Says ต้องเป็น Present Simple Tense เพราะมีประโยคแสดงความเป็นประจำคือ Whenever he sees me มากำกับบอกเวลาได้)

I wash my car every week-end.

ผมล้างรถของผมทุกๆ วันหยุดสัปดาห์

She usually relaxes after game.

โดยปรกติหล่อนจะผักผ่อนหลังเล่นกีฬาเป็นประจำ

David visits his home twice a year.

เดวิดจะไปเยี่ยมบ้านปีละ 2 ครั้ง

Somsri habitually gets up early.

สมศรีตื่นแต่เช้าตรู่เป็นประจำ

We go to school every day.

พวกเราไปโรงเรียนทุกๆวัน

(ประโยคที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ใช้ Verb เป็น Present Simple Tense เพราะมีคำบอกแสดงความบ่อย ความเป็นประจำมาร่วมด้วย)

สุ่มบทความภาษาอังกฤษจากบทความทั้งหมด